tag:blogger.com,1999:blog-81001891800253673202024-03-12T17:02:11.968-07:00คุณสุชาติ วุฒิมานพไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลวรู้จักแล้วจะรักเองhttp://www.blogger.com/profile/16804506658232375097noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-8100189180025367320.post-69052728464414172012012-04-13T00:30:00.002-07:002012-04-13T00:35:13.054-07:00เผยแพร่ ผลงานทางวิชาการชื่อเรื่อง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานครูเทศบาลในจังหวัดตรัง<br />ชื่อผู้วิจัย สุชาติ วุฒิมานพ <br />ปีที่ศึกษา 2554<br /> บทคัดย่อ <br /> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานครูเทศบาลในจังหวัดตรัง เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงานครูเทศบาลในจังหวัดตรัง จำนวน190 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ระยะเวลาที่ศึกษา คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณ 5 ระดับมีค่าความเชื่อมั่น ( ) 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่า ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าเฉลี่ย Independent Samples t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way ANOVA) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า<br /> 1. พนักงานครูเทศบาลในจังหวัดตรัง มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานโดยรวมทุกด้านในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านความมั่นคงในงาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ <br /> 2. พนักงานครูเทศบาลในจังหวัดตรัง มีระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านความสามารถในการให้บริการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความสามารถในการวางแผน <br /> 3. พนักงานครูเทศบาลในจังหวัดตรังที่มีเพศ อายุ เทศบาลที่สังกัด ประสบการณ์ ในการทำงาน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน ส่วนพนักงานครูเทศบาลที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br /> 4. ปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมในทางเดียวกันในระดับสูง (r = .815) ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน (r = .737) ด้านสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ (r = .714) และด้านสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงาน(r = .701) มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมในทางเดียวกันอยู่ในระดับสูง ส่วนด้านความมั่นคงในงาน (r = .677) มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมในทางเดียวกันในระดับปานกลาง<br /><br />นายสุชาติ วุฒิมานพ<br />รองผู้อำนวยการสถานศึกษา<br />โรงเรียนเทศบาลวัดตรังคภูมิพุทธาวาส<br />เทศบาลเมืองกันตัง จังหวัดตรังรู้จักแล้วจะรักเองhttp://www.blogger.com/profile/16804506658232375097noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8100189180025367320.post-17519535554706199342010-09-26T00:12:00.000-07:002010-09-26T00:21:02.536-07:00น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น<p align="justify"><br /><span style="font-size:85%;"><span style="font-size:180%;"><strong>การรับประทานน้ำมันมะพร้าว</strong></span><br /><br /></span><span style="font-size:130%;">คำถามแรกที่ผู้เริ่มเรียนรู้ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวมักจะถามคือ ควรรับประทานน้ำมันมะพร้าวในปริมาณวันละเท่าไร? คำตอบคือ วันละเท่าไรก็ได้ที่คุณรู้สึกเหมาะสม แม้แต่วันละครึ่งช้อนก็มีประโยชน์<br /><br />ขนาดที่แนะนำคือวันละ 3 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ทั่วๆไป เป็นปริมาณที่อัตราส่วนพอๆกับกรดไขมันสายปานกลางธรรมชาติที่พบในน้ำนมแม่ ซึ่งเป็นปริมาณเพียงพอที่จะป้องกันทารกจากการติดเชื้อ การเจ็บไข้ได้ป่วย และช่วยในการรับสารอาหารที่มีคุณค่าในสภาวะปกติทั่วๆไป<br /><br />สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 60กก. ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะเป็นปริมาณที่เหมาะสม ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่านี้สามารถลดปริมาณน้ำมันมะพร้าวลง ½ ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักที่น้อยลง 10กก. ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 70กก. รับประทานน้ำมันมะพร้าววันละ 4 ช้อนโต๊ะถือเป็นปริมาณที่ไม่มากเกินไป<br /><br />การรับประทานควรแบ่งรับประทานก่อนอาหารมื้อละประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ การรับประทานก่อนอาหารมีประโยชน์เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซับสารอาหารที่จำเป็นได้ดียิ่งขึ้น การรับประทานน้ำมันมะพร้าวแล้วดื่มน้ำตาม ยังช่วยลดความหิวทำให้ทานอาหารน้อยลง เป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก<br /><br />อย่างไรก็ตามไม่ถือเป็นกฏตายตัว โปรดจำไว้เสมอว่าแม้ปริมาณจะเล็กน้อยเพียงไรก็มีประโยชน์ และปริมาณต่างกันบ้างในแต่ละวันก็ไม่เป็นไร ในกรณีรับประทานน้ำมันมะพร้าวเพื่อช่วยในการเจ็บไข้ได้ป่วย คุณสามารถเพิ่มปริมาณน้ำมันมะพร้าวเป็นสองเท่า ไม่มีอันตรายจากการรับประทานน้ำมันมะพร้าวเกินปริมาณ เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นอาหารไม่ใช่ยา<br /><br />การรับประทานน้ำมันมะพร้าวแล้วรู้สึกเลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับบางคนที่ยังไม่รู้สึกคุ้นเคย คุณสามารถรับประทานน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีใดก็ได้ที่รู้สึกเหมาะสม บางคนรับประทานได้โดยตรงจากช้อนเป็นอาหารเสริม บางคนใช้วิธีผสมในเครื่องดื่มอุ่นๆ บางคนเลี่ยงไปใช้วิธีเพิ่มน้ำมันมะพร้าวลงในอาหาร วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหารแทนน้ำมันชนิดอื่นๆ</span></p><p align="justify"><span style="font-size:130%;"><br />วิธีรับประทานน้ำมันมะพร้าวให้ได้ประโยชน์สูงสุด<br /><br />คนจำนวนมากที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวหรืออาหารจากมะพร้าวรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ต่างพบว่าชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางคนหายจากโรคร้ายที่ทรมานพวกเขามาเป็นเวลานับปี เรื่องราวที่พวกเขาเหล่านี้เล่าล้วนน่าทึ่ง น้ำมันมะพร้าวเปรียบได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ สำหรับพวกเขา<br /><br />แต่มีบางคนที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวหรืออาหารจากมะพร้าวไปสักระยะ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นได้ เหตุใดสิ่งมหัศจรรย์จึงเกิดกับบางคนแต่ไม่เกิดกับบางคน?<br /><br />น้ำมันมะพร้าวไม่ใช่ยา แต่น้ำมันมะพร้าวช่วยส่งเสริมให้ร่างกายรักษาตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ มันช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน รับวิตะมิน แร่ธาตุ สารอาหารที่จำเป็น ซึ่ง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายในการรักษาตนเอง ซึ่งบางครั้งต้องใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะกับบางปัญหาที่มีมาอย่างเรื้อรังเป็นสิบๆปี<br /><br />คำพูดเก่าแก่ที่ว่า "You are what you eat" นั้นเป็นความจริงที่สุด เซลล์และเนื้อเยื่อของเราถูกสร้างขึ้นจากอาหารที่เรารับประทาน ถ้าเรารับประทานอาหารเลวเราไม่สามารถจะมีกระดูก กล้ามเนื้อ หรือเนื้อเยื่อที่มีคุณภาพ หญิงผู้หนึ่งเล่าว่าเธอรู้สึกผิดหวังเมื่อเธอรับประทานน้ำมันมะพร้าวใหม่ๆ เธอฟังสิ่งดีๆเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวมามากจนเธอต้องผิดหวังเมื่อมันไม่ให้ผลรวดเร็วอย่างที่เธอคิด จนกระทั่งเธอเพิ่มปริมาณน้ำมันมะพร้าวที่รับประทานขึ้นอีกนิด และงดอาหารจำพวกน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรทฟอกขาวเธอจึงเริ่มเห็นผลของน้ำมันมะพร้าว เธอสามารถลดน้ำหนักได้ทั้งที่รับประทานน้ำมันมากขึ้น<br /><br />ในที่นี้เราจะไม่พูดถึงสูตรของอาหารเพราะแต่ละคนที่มีความเห็นต่างกัน เช่นบางคนเป็นมังสวิรัติ บางคนรับประทานแบบโลว์คาร์พ คือรับประทานเนื้อสัตว์จำนวนมากรับประทานคาร์โบไฮเดรทแต่น้อย ต่างมีสุขภาพดีและสามารถลดน้ำหนักได้เช่นเดียวกัน เป็นเพราะ ทั้งสองกลุ่มต่างหลีกเลี่ยงอาหารคุณภาพต่ำและเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดของการรับประทานน้ำมันมะพร้าวควรทำควบคู่กับคำแนะนำต่อไปนี้<br />อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง<br />- อาหารที่ผ่านการขัดขาวหรือฟอกขาว (แป้งขาว ขนมปังขาว ข้าวขาว ฯลฯ)<br />- อาหารหวานต่างๆที่มีน้ำตาลสูง (ของหวาน ขนม น้ำอัดลม ฯลฯ)<br />- น้ำมันผ่านกรรมวิธี<br />- ไขมันดัดแปลงต่างๆ (มาการีนและชอร์ตเทนนิ่ง)<br />อาหารที่ควรรับประทานให้มาก<br />- ผักสดผลไม้สด</span></p><p align="justify"><span style="font-size:130%;"><br />น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กับประโยชน์ต่อสุขภาพ<br />-<br />น้ำมันมะพร้าวช่วยลดความเสื่อมของร่างกาย<br /><br />เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นสารแอนตีออกซิแดนท์ จึงช่วยลดความเสื่อมและการอักเสบที่เกิดจากการอ๊อกซิเดชั่นของไขมันอื่นในร่างกาย ช่วยลดอาการของโรคต่างๆที่เกิดจากความเสื่อมอันไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ซึ่งมีอยู่มากมายหลายโรคเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ สะเก็ดเงิน ลูปัสหรือ SLE (ภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง) หลอดเลือดอุดตัน และแม้แต่มะเร็ง สรุปง่ายๆว่า น้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายทรุดโทรมก่อนวัยอันควร ทำให้มีอายุยืนยาว<br />บทความที่เกี่ยวข้อง : <br /><a title="" href="http://www.naturalmind.co.th/index.aspx?ContentID=ContentID-090623082919391" target="_blank">การรักษาโรค"สะเก็ดเงิน"ด้วยวิถีทางโภชนาการ</a><br /><a title="" href="http://www.naturalmind.co.th/index.aspx?ContentID=ContentID-090831124620670" target="_blank">ประสบการณ์ของผู้ป่วยโรค SLE</a><br /><a title="" href="http://www.naturalmind.co.th/index.aspx?ContentID=ContentID-090720110719822" target="_blank">สุดยอดอาหารต้านโรค น้ำมันมะพร้าว+กระเทียม</a><br /><br />-<br />น้ำมันมะพร้าวช่วยลดคอเลสเตอรอล<br /><br />น้ำมันมะพร้าวช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลวที่เรียกว่า LDL คอเลสเตอรอล และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีที่เรียกว่า HDL คอเลสเตอรอล น้ำมันมะพร้าวจึงให้ผลดีกับหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และโรคเส้นโลหิตตีบ ซึ่งต่างจากไขมันทรานส์ที่พบในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีบางชนิด ซึ่งลด HDL แต่กลับเพิ่ม LDL<br />บทความที่เกี่ยวข้อง :<br /><a title="" href="http://www.naturalmind.co.th/index.aspx?ContentID=ContentID-090328110118286" target="_blank">ผลการตรวจ"คอเลสเตอรอล"ในเลือดก่อนและหลังรับประทานน้ำมันมะพร้าว</a><br /><a title="" href="http://www.naturalmind.co.th/index.aspx?ContentID=ContentID-091008174021431" target="_blank">ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโคเลสเตอรอลและอันตรายจากการใช้ยาลดโคเลสเตอรอล</a><br /><br />-<br />น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา<br /><br />น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ฆ่าไวรัส แบ็คทีเรีย และเชื้อรา แต่ไม่ทำให้ร่างกายเสียสมดุลเพราะไม่ทำอันตรายต่อแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ จึงช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน<br />บทความที่เกี่ยวข้อง :<br /><a title="" href="http://www.naturalmind.co.th/index.aspx?ContentID=ContentID-090616115619317" target="_blank">ต่อสู้ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์</a><br /><br />-<br />น้ำมันมะพร้าวช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารที่จำเป็น<br /><br />แร่ธาตุที่สำคัญและวิตะมินบางชนิดต้องละลายในไขมันเช่น แคลเซี่ยม แม็กเนเซี่ยม เบตาแคโรทีน วิตะมิน A, D, E, K ล้วนต้องละลายในไขมันร่างกายจึงจะดูดซับไปใช้งานได้ คนเราจึงไม่สามารถขาดการบริโภคไขมัน อีกทั้งน้ำมันมะพร้าวย่อยง่าย เปลี่ยนเป็นพลังงานได้เร็ว จึงช่วยนำแร่ธาตุและวิตะมินต่างๆเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ยังอุดมไปด้วยเอนไซม์ซึ่งมีความสำคัญมากกับชีวิต<br />บทความที่เกี่ยวข้อง :<br /><a title="" href="http://www.naturalmind.co.th/?ContentID=ContentID-090120072417146" target="_blank">เอนไซม์: อีกหนึ่งกุญแจสำคัญของชีวิต</a><br /> </span></p><p align="justify"><span style="font-size:130%;"></span> </p>รู้จักแล้วจะรักเองhttp://www.blogger.com/profile/16804506658232375097noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8100189180025367320.post-78004019493148262932010-02-23T06:37:00.000-08:002010-02-23T06:38:07.757-08:00song<script language="javascript1.1" src="http://hits.truehits.in.th/action/p0027040.js"></script> <center><object classid="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=7,0,19,0" width="436" height="101"><param name="allowScriptAccess" value="always" /><param name="movie" value="http://happyvampires.gmember.com/dtac_player_music/swf/player_music_Dtac.swf?121004081901"><param name="quality" value="high"><param name="wmode" value="transparent"><param name="FlashVars" value="songid=1004081901&albumid=5979" /><embed src="http://happyvampires.gmember.com/dtac_player_music/swf/player_music_Dtac.swf?121004081901" allowScriptAccess="always" quality="high" FlashVars="songid=1004081901&albumid=5979" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" type="application/x-shockwave-flash" width="436" height="101"></embed></object><br/><a href="http://happyvampires.gmember.com" target="_blank">Happy Vampires โหลดเพลงแกรมมี่แบบไม่ยั้ง แค่เดือนละ 20 บาท Click ที่นี่เลย</a></center>รู้จักแล้วจะรักเองhttp://www.blogger.com/profile/16804506658232375097noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8100189180025367320.post-33589418485390835922010-02-19T20:17:00.001-08:002010-02-19T20:18:15.591-08:00ใบงานที่3 การพัฒนาหลักสถานศึกษา(งานกลุ่ม)การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา<br /> การพัฒนาหลักสูตร<br />ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร<br />มีนักการศึกษาให้ความหมายของคำว่า “ การพัฒนาหลักสูตร ” ไว้ดังนี้ <br />สงัด อุทรานันท์ ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนหลักสูตรว่า “ การพัฒนา ” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Development” มีความหมายอยู่ ๒ ลักษณะ คือ <br />• การทำให้ดีขึ้นหรือทำให้สมบูรณ์ขึ้น <br />• การทำให้เกิดขึ้น <br />ด้วยเหตุนี้การพัฒนาหลักสูตรจึงมีความหมายใน ๒ ลักษณะ คือ การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือสมบูรณ์ขึ้น กับการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานเลย <br />ทาบา (Taba) ได้กล่าวไว้ว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรอันเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการวางจุดมุ่งหมาย การจัดเนื้อหาวิชา การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล และอื่นๆ เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายอันใหม่ที่วางไว้ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ตั้งแต่จุดมุ่งหมายและวิธีการ และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบกระเทือนทางด้านความคิดและความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ส่วนการปรับปรุงหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบางส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิดพื้นฐาน หรือรูปแบบของหลักสูตร ” <br />กู๊ด (Good) ได้ให้ความเห็นว่า “ การพัฒนาหลักสูตรเกิดได้ ๒ ลักษณะ คือ การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร การปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีการพัฒนาหลักสูตรอย่างหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมกับโรงเรียนหรือระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมายของการสอน วัสดุอุปกรณ์ วิธีสอน รวมทั้งการประเมินผล ส่วนคำว่าเปลี่ยนแปลงหลักสูตร หมายถึงการแก้ไขหลักสูตรให้แตกต่างไปจากเดิม เป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนขึ้นใหม่ ” <br />เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander) ให้ความหมายว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การจัดทำหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือเป็นการจัดทำหลักสูตรใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน การพัฒนาหลักสูตร อาจหมายรวมถึงการสร้างเอกสารอื่นๆ สำหรับนักเรียนด้วย ” <br />จากความหมายของการพัฒนาหลักสูตรที่นักการศึกษาได้กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้สามารถอธิบาย สรุปความหมายของการพัฒนาหลักสูตรได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร (Curriculum Development) หมายถึง การจัดทำหลักสูตร การปรับปรุง การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรให้ดีขึ้น เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของบุคคล และสภาพสังคม <br /> <br />สาเหตุที่ทำให้มีการพัฒนาหลักสูตร<br />การพัฒนาหลักสูตร จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาถึงข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ เพื่อให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นมานั้น สมบูรณ์ สามารถสนองความต้องการของบุคคล และสังคม พื้นฐานด้านต่างๆ ที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องนำมาพิจารณานั้นมีหลายประการ ซึ่งมีนักการศึกษาได้ให้ความคิดเห็นว่าพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรด้านต่างๆ ที่ควรนำมาพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตร มี ๕ ด้าน ดังนี้ <br />๑. พื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษา <br />๒. พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา <br />๓. พื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม <br />๔. พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง <br />๕. พื้นฐานทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยี <br /><br />กระบวนการพัฒนาหลักสูตร<br />ทาบา (Taba) ได้กล่าวถึง กระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ตามความเชื่อที่ว่าผู้เรียนมีพื้นฐานแตกต่างกัน โดยกำหนดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้ ๗ ขั้นตอน ดังนี้ <br />๑. วินิจฉัยความต้องการ : สำรวจสภาพปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นต่างๆ ของสังคม และผู้เรียน <br />๒. กำหนดจุดมุ่งหมาย : หลังจากได้วินิจฉัยความต้องการของสังคมและผู้เรียนแล้วจะกำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ชัดเจน <br />๓. คัดเลือกเนื้อหาสาระ : จุดมุ่งหมายที่กำหนด แล้วจะช่วยในการเลือกเนื้อหาสาระให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย วัย ความสามารถของผู้เรียน โดยเนื้อหาต้องมีความเชื่อถือได้ และสำคัญต่อการเรียนรู้ <br />๔. จัดเนื้อหาสาระ : เนื้อหาสาระที่เลือกได้ ยังต้องจัดโดยคำนึงถึงความต่อเนื่อง และความยากง่ายของเนื้อหา วุฒิภาวะ ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน <br />๕. คัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ : ครูผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องคัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร <br />๖. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ : ประสบการณ์การเรียนรู้ควรจัดโดยคำนึงถึงเนื้อหาสาระและความต่อเนื่อง <br />๗. กำหนดสิ่งที่จะประเมินและวิธีการประเมินผล : ตัดสินใจว่าจะต้องประเมินอะไรเพื่อตรวจสอบผลว่าบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ และกำหนดด้วยว่าจะใช้วิธีประเมินผลอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไร <br /><br />สงัด อุทรานันท์ มีความเห็นว่าการพัฒนาหลักสูตรมีความครอบคลุมถึงการร่างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ และการปรับปรุงหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นด้วย การใช้หลักสูตรและการประเมินหลักสูตรนั้น เป็นกระบวนการอันหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตร โดยได้จัดลำดับขั้นตอนของการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้ คือ <br />๑. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน <br />๒. การกำหนดจุดมุ่งหมาย <br />๓. การคัดเลือกและจัดเนื้อหาสาระ <br />๔. การกำหนดมาตรการวัดและการประเมินผล <br />๕. การนำหลักสูตรไปใช้ <br />๖. การประเมินผลการใช้หลักสูตร <br />๗. การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร <br /> กระบวนการพัฒนาหลักสูตรทั้ง ๖ ขั้นดังกล่าว มีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้ <br />๑. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน คือ ข้อมูลทางด้านความต้องการ ความจำเป็นและปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง ตลอดจนนโยบายทางการศึกษาของรัฐ ข้อมูลทางด้านจิตวิทยา ปรัชญาการศึกษา ความต้องการของผู้เรียน ตลอดจนวิเคราะห์หลักสูตรเดิม เพื่อพิจารณาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข <br />๒. การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร คณะกรรมการดำเนินงานจะต้องร่วมกันพิจารณากำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรให้สอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐาน โดยจุดมุ่งหมายของหลักสูตรจะระบุคุณสมบัติของผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ มุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้ง ๓ ด้าน คือ พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย โดยกำหนดทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไป และจุดมุ่งหมายเฉพาะ แต่ละรายวิชา ซึ่งจะเน้นการปฏิบัติมากขึ้น โดยคำนึงถึงพัฒนาการทางร่างกาย และจิตใจ ตลอดจนปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม เพื่อให้เป็นพลเมืองดี <br />๓. การกำหนดเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ หลังจากได้กำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแล้ว ก็ถึงขั้นการเลือกสาระความรู้ต่างๆ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ เพื่อความสมบูรณ์ให้ได้วิชาความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม กระบวนการขั้นนี้ จึงครอบคลุมถึงการคัดเลือกเนื้อหาวิชาแล้วพิจารณาจัดลำดับเนื้อหาเหล่านั้นว่า เนื้อหาสาระใดควรเป็นพื้นฐานของเนื้อหาใดบ้าง ควรให้เรียนอะไรก่อนอะไรหลัง แล้วแก้ไขเนื้อหาที่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งแง่สาระและการจัดลำดับที่เหมาะสม ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ <br />๔. การนำหลักสูตรไปใช้ เป็นขั้นของการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ และเกี่ยวข้องกับครูผู้สอน หลักสูตรจะประสบผลสำเร็จ มีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนจะต้องศึกษาทำความเข้าใจ และมีความชำนาญในการใช้หลักสูตร ซึ่งครอบคลุมถึงการเตรียมการสอน การจัดการเรียนการสอน การจัดสภาพแวดล้อมต่างๆ ภายในโรงเรียนเพื่อเสริมหลักสูตร การนิเทศการศึกษา และการบริหารการบริการหลักสูตร ฯลฯ นอกจากนี้ในขั้นนี้ยังครอบคลุมถึงการนำหลักสูตรไปทดลองใช้ก่อนนำไปเผยแพร่ด้วย <br />๕. การประเมินผลหลักสูตร เป็นการประเมินสัมฤทธิ์ผลของหลักสูตรว่าเมื่อได้นำหลักสูตรไปใช้แล้วนั้น ผู้ที่จบหลักสูตรนั้นๆ ไปแล้ว มีคุณสมบัติ มีความรู้ความสามารถตามที่หลักสูตรกำหนดไว้หรือไม่ นอกจากนี้ การประเมินหลักสูตรจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับปรุงหลักสูตรให้มีคุณค่าสูงขึ้น อันเป็นผลในการนำหลักสูตรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ การประเมินหลักสูตรควรทำให้ครอบคลุมระบบหลักสูตรทั้งหมด และควรจะประเมินให้ต่อเนื่องกัน ดังนั้นการประเมินหลักสูตร จึงประกอบด้วยการประเมินสิ่งต่อไปนี้ คือ <br />๕.๑ การประเมินเอกสาร หลักสูตร เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร ว่ามีความเหมาะสมดี และถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตรเพียงใด หากมีสิ่งใดบกพร่องก็จะได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขก่อนจะได้นำไปประกาศใช้ในโอกาสต่อไป <br />๕.๒ การประเมินการใช้หลักสูตร เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตร สามารถนำไปใช้ได้ดีในสถานการณ์จริงเพียงใด มีส่วนไหนที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตร โดยมากหากพบข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตรก็มักได้รับการแก้ไขโดยทันที เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ <br />๕.๓ การประเมินสัมฤทธิผลของหลักสูตร โดยทั่วไปจะดำเนินการหลังจากได้มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรไปแล้ว การประเมินหลักสูตร ในลักษณะนี้มักจะทำการติดตามความก้าวหน้าของผู้สำเร็จการศึกษาว่าสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานเพียงใด <br />๕.๔ การประเมินระบบหลักสูตร เป็นการประเมินหลักสูตรในลักษณะที่มีความสมบูรณ์และสลับซับซ้อนมาก กล่าวคือ การประเมินระบบหลักสูตรจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่น ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรด้วย เช่น ทรัพยากรที่ต้องใช้ ความสัมพันธ์ของระบบหลักสูตร กับระบบบริหาร โรงเรียน ระบบการจัดการเรียนการสอน และระบบการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน เป็นต้น <br />๖. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากได้ผ่านกระบวนการประเมินผลหลักสูตรแล้ว ซึ่งเมื่อมีการใช้หลักสูตรไประยะหนึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมและสังคม จนทำให้หลักสูตรขาดความเหมาะสม จำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป <br />จากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า กระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้นจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการมากขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงใหม่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาหลักสูตรจะต้องใช้เวลาเป็นปีขึ้นไป ในการเตรียมการ และการดำเนินงานจำเป็นต้องใช้กำลังคน และงบประมาณมากพอสมควร เพื่อจะให้ได้หลักสูตรที่ดีมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลในการพัฒนาเยาวชนของชาติต่อไป <br />ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร<br /> ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร คือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการยกระดับของหลักสูตรจากระดับที่เป็นขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง ปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิดร่วมทำ ร่วมกันสร้างหลักสูตร และร่วมกันนำหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้<br />๑. ปัญหาขาดครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม<br />๒. ปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทการอสนของครูตามแนวหลักสูตร<br />๓. ปัญหาการจัดอบรมครู<br />๔. ศูนย์การพัฒนาหลักสูตร ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน<br />๕. ขาดการประสานงานหน้าที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ<br />๖. ผู้บริหารต่าง ๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร<br />ปัญหาขาดแคลนเอกสาร เนื่องจากขาดงบประมาณและการคมนาคมขนส่งไม่สะดวก<br />ปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงอย่างมากในการพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพ ๙ ปัจจัย โดยแบ่งเป็นปัจจัยหลัก ๓ ประการ และปัจจัยสนับสนุน ๖ ประการ ดังแผนภาพที่ ๑ <br /> <br /><br /><br /><br /><br /> <br /> <br /> <br /><br /><br />แผนภาพที่ ๑ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (Marsh et al., 1990: 175)<br />จากแผนภาพที่ ๑ ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา มี ๓ ประการ คือ <br />แรงจูงใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ความสนใจในแนวคิดของนวัตกรรม และการควบคุมการทำงาน และมีปัจจัยสนับสนุน ๖ ประการคือ รูปแบบของกิจกรรม บรรยากาศของโรงเรียน บุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เวลา ทรัพยากร รวมทั้งการสนับสนุนจากภายนอก ซึ่งแต่ละปัจจัยสรุปดังนี้<br />๑. แรงจูงใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง <br /> ผู้บริหารโรงเรียนและผู้มีส่วนร่วมจะมีอิทธิพลอย่างมากที่จะจูงใจผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง<br />และเพื่อนร่วมงานให้มีส่วนร่วมในการทำงาน ซึ่งแรงจูงใจเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ถ้าเริ่มต้นด้วยการจูงใจที่ไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น ไม่มีการสนับสนุนด้านเวลา ทรัพยากร ข้อมูล แต่ให้ทำงานใหญ่ หรือถ้าบรรยากาศของโรงเรียนที่ไม่เอื้ออำนวยก็จะเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ ดังนั้นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ครูในโรงเรียนจึงเป็นจุดเริ่มต้นในความพอใจที่จะเข้าร่วมในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาผู้บริหารสถานศึกษาจะเป็นผู้ซึ่งช่วยกระตุ้นทีมงานให้วางงานประจำโดยใช้การจูงใจด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งต้องใช้เวลาระยะยาวในการพัฒนาทีมงานทั้งหมดของโรงเรียน<br /> ๒. ความสนใจในแนวคิดของนวัตกรรม <br /> แนวคิดของนวัตกรรมเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับแรงจูงใจของผู้มีส่วน<br />เกี่ยวข้องถ้าครูหรือผู้บริหารไม่สามารถนำเสนอแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจครูจะไม่เข้าร่วมในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ดังตัวอย่าง ในประเทศอังกฤษผู้บริหารโรงเรียนจะเริ่มต้นโครงการโดยการเชิญบุคคลภายนอก เช่น ผู้อำนวยการทางการศึกษามาร่วมกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา <br />๓. การควบคุมการทำงาน <br />ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ควรทำให้ผู้มีส่วนร่วมในทีมงานพัฒนาหลักสูตร<br />รู้สึกว่าไม่ถูกควบคุม แต่สร้างให้มีความรับผิดชอบต่องานและได้แสดงความเป็นเจ้าของในงาน หากมีการควบคุมมากจากส่วนกลางที่มาจากนักพัฒนาหลักสูตร จะเป็นการเสี่ยงอย่างมากต่อความล้มเหลวในการทำงาน<br />๔. รูปแบบของกิจกรรม <br /> กิจกรรมของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สามารถจัดได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่<br />กับปัจจัยด้านเวลา งบประมาณ และวัตถุประสงค์ กิจกรรมจะเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลผลิต เช่น เน้นที่การจัดระบบองค์กรที่ดี การสื่อสารที่เหมาะสม ความสามารถของทีมงานที่จะร่วมกันแก้ปัญหา และขวัญกำลังใจของทีมงาน เพราะการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทีมงานทั้งหมดของโรงเรียนหรืออย่างน้อยก็เกี่ยวข้องกับหมวดวิชา <br /><br /><br /><br />๕. บรรยากาศของโรงเรียน<br /> บรรยากาศของโรงเรียนหรือบรรยากาศขององค์กรเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนโดยดูที่การให้การสนับสนุนของผู้บริหาร การจูงใจครู ความสัมพันธ์ของสังคม Brady (1988) พิจารณาที่ความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศขององค์กรและสรุปว่าการสนับสนุนของผู้บริหารเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดในความสำเร็จของกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาซึ่ง Huberman and Miles (1984) เสนอว่า บรรยากาศทางบวกของโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา <br /><br />๖. บุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง <br /> จำนวนของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องและรูปแบบการมีส่วนร่วมมีความสำคัญยิ่ง<br />ต่อกิจกรรมของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาซึ่งจากการศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ดังเช่นที่ Rutherford (1984) เน้นที่วิสัยทัศน์ของผู้บริหารในกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา Glatthorn (1987) กล่าวถึงเรื่องการสนับสนุนและแหล่งทรัพยากรที่ผู้บริหารสามารถนำมาใช้ในโครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา Leithwood and Montgomery (1982) กล่าวถึงผู้บริหารว่ามีหน้าที่รับผิดชอบและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะองค์กรระหว่างทีมงานและในปี ค.ศ.1986 Leithwood and Montgomery (1986) ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงรูปแบบของผู้บริหารแบบผู้ริเริ่ม และนักแก้ปัญหา จะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาประสบความสำเร็จ รวมทั้ง Campbell (1985: 57) เสนอแนะว่าควรพัฒนาสิ่งต่อไปนี้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการบริหารจัดการการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา คือ ทักษะเกี่ยวกับหลักสูตร ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชา ทักษะการสร้าง การใช้ และประเมินหลักสูตร และ ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ได้แก่ การเป็นผู้นำในการประชุม/อภิปราย การสื่อสาร การประสานงาน การให้คำปรึกษา เสนอแนะเพื่อนร่วมงาน การสอนเพื่อนร่วมงาน การบำรุงรักษาขวัญกำลังใจและลดความวิตกกังวลของเพื่อนร่วมงาน และการจัดการกับความขัดแย้ง<br />๗. เวลา <br /> กิจกรรมของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ในแต่ละโรงเรียนที่จะสามารถ<br />ขับเคลื่อนการทำงานของทีมงานและมีการเปลี่ยนแปลงต้องใช้ระยะเวลาที่ยาว เพราะต้องมีการสะท้อนความคิด และช่วงการอภิปรายของสมาชิกตลอดเวลา เช่น ในการทำงานของทีมโรงเรียน River Valley High School ใช้เวลาในการดำเนินการถึง ๓ ปี ก่อนที่จะตัดสินใจนำหลักสูตรไปใช้ในโรงเรียนใหม่ หรือการดำเนินการของโรงเรียน Titahi Bay School และโรงเรียน Green Bay Primary School เริ่มโครงการในปี 1994 ไปเสร็จสิ้นในปี 1996 และจากกรณีศึกษาในประเทศแคนาดา ผู้บริหารพยายามใช้เวลาพบกับกลุ่มในการทำงานระหว่างเวลาการเรียนปกติ แต่กรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาจะใช้เวลาเต็มที่ในช่วงวันหยุดระหว่างปิดภาคฤดูร้อน<br /><br /><br />๘. ทรัพยากร <br /> Huberman and Miles (1984: 94-95) เสนอแนะว่า ทรัพยากรของการพัฒนา<br />หลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วย เงินบริจาค วัสดุ อุปกรณ์ เช่น เอกสารในการทำกิจกรรม เครื่องมือต่างๆ หลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก การสาธิตและการเยี่ยมเยียนเสนอแนะในการประชุมปฏิบัติการ การช่วยเหลือด้านเวลา เช่น ลดคาบการสอน จัดระบบชั้นเรียนใหม่ การให้เงินช่วยเหลือครู และการช่วยเหลือด้านข้อมูลต่าง ๆ <br />๙. การสนับสนุนจากภายนอก<br /> หน่วยงาน/องค์กรจากภายนอก เช่น รัฐ จังหวัด หน่วยงานด้านการศึกษาในท้องถิ่น <br />เป็นแหล่งข้อมูลที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโรงเรียน Lawton and Chitty (1988) Reid et al. (1988) Campbell (1985) และ Simons (1988) ชี้ให้เห็นว่าผู้อำนวยการศึกษาของรัฐ และหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาเป็นหน่วยงานที่จะช่วยเพิ่มแรงผลักดันให้โรงเรียน โดยกำหนดนโยบายและสนับสนุนงบประมาณไปให้โรงเรียนและมีการแบ่งสรรทีมงานให้คำปรึกษา อำนวยความสะดวก ในการปฏิบัติตามนโยบาย ดังตัวอย่างในประเทศแคนาดา กระทรวงศึกษาธิการ ของรัฐ Ontario มีนโยบายเน้นให้ทีมของโรงเรียนมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยมีหน้าที่วางแผนด้านหลักสูตรด้วยผู้บริหารโรงเรียน และครู ประสานงานกับหน่วยศึกษานิเทศก์ และนักการศึกษาอื่น ๆ ซึ่งจ้างโดยคณะกรรมการของโรงเรียน <br /> จากการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาข้างต้น สรุปได้ว่าการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษานั้นต้องคำนึงถึง ๓ ปัจจัยหลัก คือ การสร้างแรงจูงใจให้ผู้มีส่วนร่วม การเสนอ นวัตกรรมที่น่าสนใจและการให้ผู้มีส่วนร่วมได้รับผิดชอบและมีความเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้รูปแบบกิจกรรมต่างๆ การสร้างบรรยากาศของโรงเรียนที่เอื้ออำนวยมีบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภายในและนอกโรงเรียนสนับสนุน มีทรัพยากร/ข้อมูลที่เพียงพอมีการจัดสรรเวลาที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานร่วมกัน รวมทั้งมีการวางแผนที่จะพัฒนาความรู้ ความสามารถของผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวกับ ทักษะการพัฒนาหลักสูตรและทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้จะส่งผลให้การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาประสบผลสำเร็จอย่างมีคุณภาพ<br /><br />วิธีการการพัฒนาหลักสูตร มี ๕ วิธีการ<br />๑. การพัฒนาหลักสูตรจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง<br />๒. การพัฒนาหลักสูตรจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน<br />๓. การพัฒนาหลักสูตรแบบวิธีการสาธิต<br />๔. การพัฒนาหลักสูตรวิธีการอย่างมีระบบ<br />๕. การพัฒนาหลักสูตรโดยวิธีเชิงปฏิบัติการ<br />ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตรและการเรียนการสอน<br /><br /> ก. ระดับของหลักสูตร<br /> - ประถมศึกษา<br /> - มัธยมศึกษา - อุดมศึกษา - อาชีวศึกษา<br /><br /> สถาบัน/โรงเรียน<br /> <br /> ข.<br /> ห้องเรียน<br /> โครงสร้างของ<br /> - สาขาวิชา - กลุ่มวิชา<br /> - รายวิชา<br /> ค. - หน่วย<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />กระบวนการพัฒนาหลักสูตร<br /><br /><br /> คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร <br /> คณะครูผู้บริหาร นักเรียน<br /> ผู้ปกครองและองค์การที่เกี่ยวข้อง พัฒนาสื่อการ <br /> รูปแบบหลักสูตร เรียนการสอน <br /> โครงสร้าง องค์ประกอบของหลักสูตร วัสดุหลักสูตร<br /> - จุดมุ่งหมาย, เนื้อหาสาระ การนำไปใช้<br /> - กระบวนการเรียนการสอน การติดตามผล<br /> - การประเมินผล การประเมินหลักสูตร<br /> กลุ่มเป้าหมาย <br /> ปรัชญาการศึกษา, ปรัชญาสังคม ผู้เรียน<br /> <br /> จิตวิทยาพัฒนาการ, การเรียนรู้ <br /> <br /> ธรรมชาติของความรู้ <br /> <br /> ประวัติศาสตร์, มนุษยศาสตร์ <br /> การศึกษา<br /> สังคม เศรษฐกิจ สำรวจ<br /> การเมือง วัฒนธรรม วิเคราะห์ วิจัย <br /> <br /> แนวความคิดพื้นฐาน <br /><br /> <br />ระบบพัฒนาหลักสูตร<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> <br /> <br />องค์ประกอบของหลักสูตร<br /><br /> <br /><br />TYLER'S RATIONALE<br />๑. มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจะแสวงหา (Educational Purposes)<br /> ๒. มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุถึง <br /> จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ (Educational Experiences)<br /> ๓. จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไร จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ <br /> (Organization of Educational Experiences)<br /> ๔. จะประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร จึงจะตัดสินได้ว่า<br /> บรรลุถึง จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ (Evaluation)<br /><br />ขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรของ TYLER<br />(CONCEPTUAL FRAMEWORK FOR CURRICULUM DEVELOPMENT)<br /><br /> <br /> จุดมุ่งหมายชั่วคราว จุดมุ่งหมายสุดท้ายการเรียน<br /> <br /> การเลือกประสบการณ์<br /><br /> การจัดประสบการณ์การเรียน <br /><br /> ประเมินผล<br /><br />๙. การจัดองค์ประกอบของหลักสูตร<br /> ๑. ขอบข่ายของหลักสูตร (Scope)<br /> ๒. การบูรณาการ (Integration) จะต้องเชื่อมโยงเนื้อหาจากสาขาวิชาหนึ่งไปยังเนื้อหา <br /> ของอีกสาขาวิชาหนึ่งได้<br /> ๓. การเรียงลำดับขั้นตอน (Sequence) จากง่ายไปหายาก<br /> ๔. ความต่อเนื่องกัน (Continuity) จัดโอกาสให้กับผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง<br /> (ให้เรียนซ้ำบ่อย ๆ)<br /> ๕. ความสัมพันธ์เชื่อมโยงและความสมดุล (Articulation and Balance) จัดต้องสัมพันธ์กัน<br />๑๐. รูปแบบของหลักสูตร <br /> ๑๐.๑ หลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง<br /> ๑. หลักสูตรแบบรายวิชา เก่าแก่ที่สุดและเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์ แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ ก็คือ สติปัญญาและการค้นคว้าหาความรู้ ไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและ ผู้เรียน ความรู้ที่ได้แยกเป็นส่วนๆ เน้นที่ความจำ รายวิชาไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้เรียน นักเรียนเป็นผู้รับรู้ แต่เพียงอย่างเดียว<br /> ๒. หลักสูตรแบบสาขาวิชา ปัจจุบันยังคงมีใช้อยู่ในระดับประถม มัธยมศึกษาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษา เน้นความรู้เฉพาะในสาขาวิชาของตน จะต้องศึกษาโครงสร้างพื้นฐานของสาขาวิชา ผู้เรียนปรับตัวเข้าหาหลักสูตร สนใจแต่นักเรียนที่เก่ง ไม่สนใจข้อมูลอื่นที่ไม่สามารถจัดเข้าเป็นสาขาวิชาได้<br /> ๓. หลักสูตรแบบรวมวิชา เป็นหลักสูตรแบบบูรณาการ รวมหรือผสมผสานรายวิชาที่เกี่ยวข้องกัน ตั้งแต่ ๒ รายวิชาขึ้นไปเข้าเป็นสาขาวิชาเดียว (วิทย์ทั่วไป ประกอบด้วย คณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์)<br /> ๔. หลักสูตรแบบสัมพันธ์วิชาหรือสหสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์กันระหว่างรายวิชานั้น ๆ หลักสูตรนี้ประสบความสำเร็จได้ยาก เพราะครูในชั้นเรียนประถม มักสอนคนเดียว ระดับมัธยม ครูสอนแยกแต่ละวิชา ไม่มีเวลาพอที่จะทำงานเป็นทีมร่วมกับครูอื่นๆ<br /> ๑๐.๒ หลักสูตรแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง<br /> ๑. หลักสูตรแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง เน้นที่ตัวเด็กแทนที่การเน้นเนื้อหาวิชา เป็นการบูรณาการเนื้อหาให้เป็นหน่วยของประสบการณ์หรือปัญหาสังคม<br /> ๒. หลักสูตรประสบการณ์ เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง แต่ไม่อาจคาดหมายไว้ล่วงหน้าว่าความ สนใจและความต้องการของเด็กจะเป็นเช่นไร<br /> ๓. หลักสูตรแบบมนุษยนิยม ปล่อยให้นักเรียนเป็นอิสระเสรี มีความคิดสร้างสรรค์ ให้เรียนตามความสามารถของตัวเอง ไม่ตั้งจุดมุ่งหมาย เน้นคุณธรรม จริยธรรม อารมณ์ ให้ผู้เรียนได้เปิดเผยตัวเอง ต่างจากไทเลอร์ ซึ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ต้องตั้งจุดมุ่งหมายก่อนเพื่อแสดงพฤติกรรมที่วัดได้<br /><br /> ๑๐.๓ รูปแบบที่เน้นปัญหาเป็นศูนย์กลาง เน้นปัญหาการดำรงชีวิต<br /> ๑. หลักสูตรแบบเน้นสภาพชีวิต เน้นทางสังคม ชีวิต ความเป็นอยู่ เรียนรู้โดยการแก้ปัญหา ใช้ประสบการณ์ของผู้เรียนในอดีตและในปัจจุบันมาช่วยในการวิเคราะห์ด้านต่างๆ ของชีวิต มีการบูรณาการ เนื้อหาจากหลายสาขาวิชา ข้อบกพร่อง กิจกรรมที่ทำในปัจจุบันจะถือว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญในอนาคตได้หรือไม่ ไม่ได้ให้นักเรียนเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรม สนใจแต่สภาพปัจจุบัน<br /> ๒. หลักสูตรแกน มีการวางแผนเป็นอย่างดี มีศุนย์กลางอยู่ที่วิชาศึกษาทั่วไป ปรับเปลี่ยนแผนที่วางไว้ได้ตามความเหมาะสม<br /> ๓. หลักสูตรเน้นการแก้ปัญหาสังคมและการปฏิรูปสังคม สนใจที่จะเชื่อมโยงหลักสูตรเข้ากับการพัฒนาสังคมทางการเมืองและเศรษฐกิจ<br /> ๔. หลักสูตรที่เน้นชุมชนเป็นฐาน<br /> ๑๐.๔ หลักสูตรที่เน้นเทคโนโลยี<br /> ๑๐.๕ หลักสูตรแบบสมรรถฐาน ทางพยาบาลจะใช้มาก ระบุเจตคติ<br />๑๑. การประเมินหลักสูตร<br /> ๑๑.๑ การประเมินคืออะไร<br /> ๑. คือการพิจารณาคุณค่าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยมีเกณฑ์ประกอบ เกณฑ์อาจเป็น<br /> คุณสมบัติ คุณลักษณะ ข้อมูล<br /> ๒. คือการตรวจสอบการตัดสินใจ คุณค่า คุณภาพ ความสำคัญ<br /> ๓. คือการรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจ<br /> ๑๑.๒ เหตุผลที่ต้องประเมิน<br /> ๑. สถาบันได้สนองเจตนารมณ์ของสังคมเต็มที่เพียงไร<br /> ๒. ผลผลิตจากสถาบันมีคุณภาพอย่างไร<br /> ๓. ค่านิยมทางการศึกษาของคน (ชุมชน) คืออะไร<br /> ๔. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรเหมาะสมเพียงไร<br /> ๕. การทำงานได้ผลตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่<br /> ๖. มีปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง<br /> ๑๑.๓ การประเมินหลักสูตร คือการหาคำตอบว่าหลักสูตรสัมฤทธิ์ผลตามที่กำหนดไว้ในความมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หลักสูตรไม่สัมฤทธิ์ผลตามความมุ่งหมาย<br />๑๒. ขั้นตอนในการประเมินหลักสูตร<br /> ๑. ขั้นพัฒนาหลักสูตร ประเมินโครงร่างหลักสูตร<br /> - โครงสร้างหลักสูตร<br /> - ความมุ่งหมายของหลักสูตร<br /> - เนื้อหา<br /> - กิจกรรมการเรียนการสอน<br /> - อุปกรณ์ สื่อการสอน<br /> - การประเมินผลการเรียนการสอน<br /> - บรรยากาศในการเรียน<br /> - สิ่งแวดล้อมในสถาบันการศึกษา<br /> ๒. ขั้นการใช้หลักสูตร ประเมินหลักสูตรที่ใช้จริง<br /> - ประเมินในระหว่างดำเนินการใช้หลักสูตร (formative evaluation)<br /> - ประเมินจุดเด่นและจุดด้อยของหลักสูตร<br /> - การจัดการเรียนการสอน<br /> - การบริหารหลักสูตร<br /> ๓. ขั้นผลิตผลของหลักสูตร ประเมินติดตามผล<br /> - คุณภาพของบัณฑิต<br /> - การทำงานของบัณฑิต<br /> - ความพึงพอใจและความต้องการของนายจ้าง<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />รูปแบบของการประเมินหลักสูตร (CIPP MODEL)<br /> ผู้คิด DANIEL N.STUFFLEBEAM<br /> บริบท - ความสอดคล้องระหว่างหลักสูตรกับปรัชญา กฎหมาย แผนพัฒนา นโยบาย<br /> context - ความเหมาะสมของจุดมุ่งหมายของหลักสูตร<br /> - ความเหมาะสมของโครงสร้างหลัดสูตร<br /> ปัจจัยนำเข้า - คุณลักษณะของนิสิต<br /> Input - ภาระงานของอาจารย์<br /> - ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบัน<br /> - แหล่งความรู้<br /> กระบวนการ - การใช้หลักสูตร<br /> Process - พฤติกรรมการสอน<br /> - การนำทรัพยากรมาใช้<br /> - การบริหารหลักสูตร<br /> - การปฏิบัติงานในระบบ<br /> ผลผลิต - คุณภาพของบัณฑิต<br /> Product - สมรรถภาพในการทำงาน<br />- ความพึงพอใจของผู้ใช้ บัณฑิต<br /><br /><br />๑๓. John Neisbitt (Magatrend) ให้มุมมองในอนาคตไว้ดังนี้<br /> ๑. การเปลี่ยนแปลงจากสังคมอุตสาหกรรม<br /> ๒. สังคมในอนาคต ต้องการใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อให้สอดคล้องกับปฏิสัมพันธ์ของ<br /> มนุษย์ระดับสูง<br /> ๓. เศรษฐกิจจะเปลี่ยนจากระดับชาติไปสู่ระดับโลก<br /> ๔. การวางแผนจะเปลี่ยนจากการวางแผนระยะสั้นไปสู่การวางแผนระยะยาวและสู่การ<br /> ปฏิบัติ<br /> ๕. การบริการและการบริหารจะเปลี่ยนจากศูนย์รวมไปสู่การกระจายอำนาจ<br /> ๖. การเน้นการช่วยตนเองแทนการให้หน่วยงานช่วย<br /> ๗. ประชาธิปไตยจะเปลี่ยนจากประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนไปเป็นประชาธิปไตยแบบมี<br /> ส่วนร่วม<br /> ๘. การจัดองค์การจะเปลี่ยนจากการแบ่งระดับชั้นไปเป็นการสร้างเครือข่าย<br /> ๙. เขตความเจริญจะเปลี่ยนจากทางเหนือมาเป็นแถบเอเซียแปซิฟิก<br /> ๑๐. จะเปลี่ยนสถานการณ์ที่มีทางเลือกสองทางเป็นหลายทาง<br />๑๔. การพัฒนาหลักสูตรในอนาคต<br /> ๑. พัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ (เครือข่ายวิชาการ วิชาชีพ)<br /> ๒. พัฒนาหลักสูตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)<br /> - จัดหลักสูตรเพื่อการพัฒนาคนต่อเนื่องตลอดชีวิต<br /> ๓. รูปแบบหลักสูตรจะหลากหลายมากขึ้น เช่นหลักสูตรการศึกษาภาคพิเศษ หลักสูตร<br /> เฉพาะกิจ หลักสูตรฝึกอบรม<br /> ๔. เปิดหลักสูตรนานาชาติเพิ่มขึ้น <br /> ๕. มีการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างน้อย ๒ ประเทศ เช่น เวียดนาม เขมร ลาว มลายู<br /> ๖. มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น การใช้เทคโนโลยีต้องไม่ขัดกับสังคมและ<br /> สิ่งแวดล้อม ต้องไม่ให้เทคโนโลยีเป็นนายเรา<br /> ๗. หลักสูตรและการเรียนการสอนจะต้องพัฒนาทักษะในการคิด การศึกษาหาความรู้ด้วย<br /> ตนเอง และความสามารถในการสื่อสาร พัฒนาคนให้คิดว้าง คิดไกล ใฝ่รู้<br /> ๘. ให้ผู้เรียนมีความรู้ทั้งเรื่องที่เป็นสากล นานาชาติ และของไทย ต้องรู้เขารู้เรา<br /> ๙. พัฒนาหลักสูตร ส่วนกลาง ๖๐ %<br /> ส่วนท้องถิ่น ๔๐ % <br /> ๑๐. จัดการเรียนการสอน โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา<br /> ๑๑. จะต้องมีการประกันคุณภาพทางการศึกษาทุกระดับรู้จักแล้วจะรักเองhttp://www.blogger.com/profile/16804506658232375097noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8100189180025367320.post-40595584772192137072009-11-27T22:49:00.000-08:002009-11-27T22:51:40.852-08:00กระดาษเขียนแบบ<div align="justify"><br /><span style="font-size:85%;"><span style="font-size:100%;"> <span style="font-family:courier new;"> 3.มาตรฐานงานเขียนแบบ > กระดาษเขียนแบบ<br /> กระดาษเขียนแบบ<br />กระดาษเขียนแบบ เป็นวัสดุงานที่ใช้สำหรับบันทึกรูปภาพงานเขียนแบบลงบนผิวกระดาษ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารถ่ายทอดแบบงานระหว่างช่างผู้เขียนแบบกับช่างผู้ผลิตชิ้นงานตามแบบงาน กระดาษที่ใช้ในงานเขียนแบบมีอยู่ 2 ชนิด คือกระดาษเขียนแบบธรรมดากับกระดาษไข ซึ่งกระดาษไขใช้สำหรับการนำไปพิมพ์เขียวทำสำเนา<br /> มาตรฐานขนาดกระดาษเขียนแบบ กระดาษเขียนแบบมีอยู่หลายขนาด ผู้เขียนสามารถเลือกใช้ขนาดกระดาษแต่ละขนาดตามความเหมาะสม ตามมาตรฐาน DIN 476 ได้กำหนดขนาดกระดาษหลักไว้ 7 ขนาด คือ A0 A1 A2 A3 A4 A5 และ A6 โดยกระดาษขนาด A0 เป็นขนาดกระดาษที่มีขนาดโตที่สุด มีพื้นที่รวม 1 ตารางเมตร ลักษณะรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีสัดส่วนความกว้างต่อความยาวเป็น 1 ต่อ รูท 2 โดยขนาดกระดาษที่เล็กลงไปในแต่ละระดับจะมีพื้นที่เพียงครึ่งของระดับบน<br /><br />มาตรฐานความหนากระดาษเขียนแบบ ความหนากระดาษที่ใช้เรียกกันทั่วไปมีหน่วยเป็นแกรม ซึ่งหน่วยที่เรียกความหนากระดาษเป็นแกรมนั้น มีความหมายว่ากระดาษที่มีพื้นที่ 1 ตารางเมตรเมื่อนำไปชั่งน้ำหนักแล้วมีหน่วยเป็นกรัม เช่น กระดาษความหนา 120 แกรม เมื่อนำกระดาษแผ่นนี้ที่มีพื้นที่ 1 ตารางเมตรไปชั่งน้ำหนักแล้วจะมีน้ำหนักรวม 120 กรัม</span></span><span style="font-family:courier new;"> </span></span></div>รู้จักแล้วจะรักเองhttp://www.blogger.com/profile/16804506658232375097noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8100189180025367320.post-82817778080910658332009-11-27T22:43:00.001-08:002009-11-27T22:43:58.605-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVvfJ79D8m3_M6rKIO_uzg-vosjDYfmjZaODVIxuVIYT5g-ePhtPzU8qhNGxgyQCzUS4YS30gy-4DPjoeg2l5oS-6v9N8J20f7MPMxZwxZWL7xu6cfQtls13dw48bUbguTdKbE7_GS9rQ/s1600/45.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5409041572241285106" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 180px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVvfJ79D8m3_M6rKIO_uzg-vosjDYfmjZaODVIxuVIYT5g-ePhtPzU8qhNGxgyQCzUS4YS30gy-4DPjoeg2l5oS-6v9N8J20f7MPMxZwxZWL7xu6cfQtls13dw48bUbguTdKbE7_GS9rQ/s400/45.jpg" border="0" /></a><br /><div></div>รู้จักแล้วจะรักเองhttp://www.blogger.com/profile/16804506658232375097noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8100189180025367320.post-25797399945629701132009-11-27T22:37:00.000-08:002009-11-27T22:40:12.109-08:00เส้นงานเขียนแบบ<blockquote></blockquote> <blockquote></blockquote>รู้จักแล้วจะรักเองhttp://www.blogger.com/profile/16804506658232375097noreply@blogger.com0